-โซนที่ 1 : พื้นที่ 1 ใช้หัวสปริงเกลอร์รุ่น 6304 และหัวฉีด 7370 ที่สามารถฉีดได้ 3.7 เมตร ที่แรงดัน 1.4 บาร์ ใช้ปริมาณน้ำรวมทั้งหมด 2.44 ลบ.ม./ชม.
-โซนที่ 2 : พื้นที่ 2 ใช้หัวสปริงเกลอร์รุ่น PRO 5500/X2-550 หัวฉีดเบอร์ 54 ที่สามารถฉีดได้ 7.0 เมตร ที่แรงดัน 1.4 บาร์ ใช้ปริมาณน้ำรวมทั้งหมด 2.16 ลบ.ม./ชม.
-โซนที่ 3: พื้นที่ 3 และ 4 ใช้หัวสปริงเกลอร์รุ่น 6304 และหัวฉีด 7370 ที่สามารถฉีดได้ 3.7 เมตร ที่แรงดัน 1.4 บาร์ ใช้ปริมาณน้ำรวมทั้งหมด 1.98 ลบ.ม./ชม.
-โซนที่ 4 : พื้นที่ 5 ใช้หัวสปริงเกลอร์รุ่น PRO 6000/X2-600 หัวฉีดเบอร์ 6 ที่สามารถฉีดได้ 9.8เมตร ที่แรงดัน 1.4บาร์ ใช้ปริมาณน้ำรวมทั้งหมด 1.92 ลบ.ม./ชม.
การเลือกขนาดท่อ และการวางแนวทางเดินท่อ
เมื่อแบ่งโซนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกขนาดท่อให้เหมาะสม ท่อพีอี(Polyethylene) เป็นท่อที่เหมาะสมและใช้กันมากที่สุดในงานระบบรดน้ำต้นไม้ การกำหนดขนาดท่อสามารถทำได้อย่างง่าย ๆ โดยการใช้ปริมาณการใช้น้ำของโซนที่ใช้น้ำมากที่สุด และเทียบกับตารางอัตราการไหลสูงสุดในท่อพีอี PN 4
ตามตัวอย่างปริมาณน้ำที่มากที่สุดคือโซน 1 ใช้น้ำอยู่ที่ 2.44 ลบ.ม./ชม. หากดูตามตารางแล้วท่อขนาด 25 ม.ม. มีอัตราการจ่ายน้ำสูงสุดอยู่ที่2.59 ลบ.ม./ชม. ซึ่งมากกว่าปริมาณน้ำที่โซนที่ 1 ต้องการใช้ แต่อย่างไรก็ตามอัตราการจ่ายน้ำสูงสุดดังกล่าวยังไม่ได้คิดถึงค่าความสูญเสียจากแรงเสียดทานของท่อ ข้อต่อ และอุปกรณ์อื่น ๆ ดั้งนั้นการเลือกท่อจึงควรเลือกท่อโดยเผื่ออัตราการใช้น้ำเพิ่มขึ้นไปอีกประมาณ 30% ดังนั้นอัตราการใช้น้ำของโซนที่ 1 จะกลายเป็น 2.44 1.30 = 3.172 ลบ.ม. /ชม. จึงควรใช้ท่อขนาด 32 มม. โซนอื่น ๆ ก็ควรใช้ท่อขนาด 32 ม.ม. ด้วยเช่นกัน
การเดินท่อควรเดินตามแนวขอบต่าง ๆ เพื่อความเป็นระเบียบและสวยงาม อีกทั้งยังสามารถรู้ตำแหน่งของท่อได้ง่ายเมื่อต้องการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษา ตามรูปตัวอย่างการเดินท่อ และแบ่งโซน
การเลือกปั๊ม
ปั๊มเป็นเสมือนหัวใจของระบบรดน้ำ เนื่องจากน้ำจะสามารถถูกฉีดออกำจากหัวสปริงเกลอร์ได้ จะต้องมีแรงดันน้ำมาเป็นตัวขับ โดยแรงดันดังกล่าวได้มาจากการทำงานของปั๊มน้ำ การเลือกปั๊มน้ำที่ไม่เหมาะสมจะทำให้ระบบไม่สามารถทำงานได้ หรืออาจทำให้ระบบรับภาระเกินความจำเป็นการเลือกปั๊มอย่างง่าย ๆ สามารถทำได้โดยการดูกราฟความสามารถของปั๊มน้ำของผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายนั้น ๆ
จากตัวอย่างระบบถูกออกแบบให้ใช้งานที่แรงดัน 1.4 บาร์ ณ. จุดหัวฉีดสปริงเกลอร์ ดั้งนั้นหากคำนึงถึงค่าความสูญเสียจากแรงเสียดทานของท่อข้อต่อ และอุปกรณ์ต่าง ๆแล้ว เราต้องการปั๊มที่มีแรงดันสูงกว่าแรงดันที่ต้องการ วิธีการคำนวณเพื่อหาแรงดันที่เหมาะสมนั้น ต้องใช้สูตรต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย และวิธีการคำนวณมีความซับซ้อน อย่างไรก็ตามวิธีการที่ง่ายที่สุดคือการเผื่อแรงดันจากแรงดันที่ต้องการ ณ. จุดหัวฉีดสปริงเกลอร์ขึ้นไปอีก 40-70% ขึ้นอยู่กับลักษณะของพื้นที่ ลักษณะการวางท่อ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ในที่นี้เนื่องจากระบบใช้แรงดันค่อนข้างต่ำเราสามารถเผื่อแรงดันได้อีกที่ 70 % ดังนั้นแรงดันที่ปั๊มสามารถทำได้จะต้องอยู่ที่ 1.4 1.7=2.38 หรือประมาณ2.4 บาร์ (Head 24เมตร)
เมื่อเรารู้แรงดัน หรือ Head ของปั๊มที่เราต้องการแล้ว เราต้องรู้อัตราการส่งน้ำที่ปั๊มต้องทำได้ด้วย เนื่องจากเราได้มีการคำนวณอัตราดังกล่าวไว้แล้วเพื่อใช้ในการเลือกท่อ เราสามารถนำคำดังกล่าวมา เพื่อใช้ในการเลือกท่อ เราสามารถนำคำดังกล่าวมา เพื่อใช้ในการเลือกปั๊มด้วยเช่นกัน ค่าปริมาณน้ำที่ปั๊มต้องสามารถทำได้คืออย่างน้อย 3.172 ลบ.ม./ชม. หรือประมาณ 3.2 ลบ.ม./ชม.
ดังนั้นปั๊มที่ต้องการเพื่อใช้สำหรับระบบตามตัวอย่างต้องมีความสามารถ ณ จุดใช้งานดังนี้
H (Head) = 24 เมตร หรือ 2.4 บาร์
Q (อัตราการจ่ายน้ำ) = 32 ลบ.ม./ชม.
จากนั้นเรานำทั้งสองค่าดังกล่าวเทียบกับตารางและกราฟความสามารถของปั๊ม เพื่อเลือกปั๊มที่ถูกต้องได้ ข้อควรระวังคือตัวเลขดังกล่าวต้องเป็นที่จุดใช้งานบริเวณกลางเส้นกราฟของปั๊ม ไม่ใช่ตัวเลขอัตราสูงสุดที่ปั๊มทำได้
ปริมาณน้ำที่ต้องการ
ปริมาณน้ำที่พืชต้องการสามารถจำแนกออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ สวน ไม้ดอกไม้ประดับ(พุ่มไม้) สนามหญ้า และไม้ในกระถางหรือระเบียง ในการแบ่งพื้นที่การให้น้ำให้คำนึงถึงสภาพพื้นที่ เช่น ในร่มหรือกลางแจ้ง เมื่อสามารถทำความเข้าใจกับปริมาณน้ำที่พืชต้องการ จะช่วยให้การวางผังการรดน้ำในแต่ละกลุ่มพืชมีความชัดเจนขึ้น เพื่อให้ง่ายในการวางแผนตารางข้างล่างนี้ จะบอกถึงระยะเวลาในการรดน้ำโดยทั่วไปของพืชแต่ละกลุ่ม และวิธีการรดน้ำแต่ละแบบ แต่ท่านควรปรับระยะเวลาให้เหมาะสมตามสภาพภูมิอากาศและพื้นที่ของท่าน
ปริมาณน้ำที่ต้องการ | ชนิดของระบบรดน้ำ | ลักษณะดิน | อากาศเย็น | อากาศอบอุ่น | อากาศร้อน |
สวน | มินิสปริงเกลอร์ | ดินเหนียว | 30 นาที ทุก ๆ 3 วัน | 35 นาที ทุก ๆ 2 วัน | 35 นาที ทุกวัน |
ดินทราย | 15 นาที ทุก ๆ 2 วัน | 15 นาที ทุกวัน | 15 นาที ต่อ 2 วันครั้ง |
พุ่มไม้ | ระบบน้ำหยด | ดินเหนียว | 3 ชั่วโมง สัปดาห์ละครั้ง | 3 ชั่วโมง ทุก ๆ 3 วัน | 4 ชั่วโมง ทุก ๆ 2 วัน |
ดินทราย | 1 ชั่วโมง ทุก ๆ 2 วัน | 2 ชั่วโมง ทุก ๆ 2 วัน | 2 ชั่วโมง ทุกวัน |
ไม้กระถาง | ระบบน้ำหยด | ดินผสม | ทุก ๆ 2 วัน จนเต็มกระถาง | ทุกวันจนเต็มกระถาง | ทุกวัน จนเต็มกระถาง |
สนามหญ้า | POP UP(หัวฉีดสเปรย์) | ดินเหนียว | 15 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้ง | 15 นาที ทุก ๆ 4 วัน | 35 นาที ทุก ๆ 2 วัน |
ดินทราย | 10-15 นาที ทุก ๆ 4 วัน | 10-15 นาที ทุก ๆ 2 วัน | 10-15 นาที ทุกวัน |
สนามหญ้า | POP UP(เกียร์ไดร์พ) | ดินเหนียว | 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละครั้ง | 1 ชั่วโมง ทุก ๆ 4 วัน | 1 ชั่วโมง ทุก ๆ 2 วัน |
ดินทราย | 30 นาที ทุก ๆ 4วัน | 30 นาที ทุก ๆ 2 วัน | 30 นาที ทุกวัน |
หมายเหตุ: ตารางดังกล่าว เป็นแนวทางการให้น้ำ เวลาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและพื้นที่